เผยที่มาของทีมยักษ์ใหญ่ เอสซีจี เมืองทองยูไนเต็ด ของพรีเมียร์ ลีก ไทย

ถ้าจะให้กล่าวถึงวงการลูกหนังในไทยแล้วก็ถือได้ว่าพัฒนาขึ้นมาก จะเห็นได้ว่าช้างศึกของราไปค้าแข้งต่างประเทศกันเยอะเหมือนกัน สโมสรหนึ่งที่มีนักเตะดาวดังมากในระดับหนึ่งทั้งนักเตะไทย และนักเตะต่างชาติ รวมไปถึงผู้เล่นระดับโลกก็เคยมาสวมเสื้อทีมใช่แล้ว สโมสร เอสซีจี เมืองทองยูไนเต็ด นั่นเอง

วันนี้แอดจะพาไปดูถึงที่มาที่ไปของเมืองทองยูไนเต็ด เส้นทางกว่าจะขึ้นมาถึงในระดับไทยพรีเมียร์ลีกได้นั้นจะหืดขึ้นคอมาแค่ไหน เส้นทางของสโมสรนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่โรยด้วยกุหลาบทั้งต้นพร้อมกับหนามที่ขุนพลนักเตะกิเลนผยองต้องฟันฝ่า

เอสซีจี เมืองทองยูไนเต็ด

ฉายา : กิเลนผยอง
ตัวย่อ : MTUTD
ก่อตั้ง : 1989 (ภายใต้ชื่อ “หนองจอกพิทยานุสรณ์”)
สนาม : เอสซีจี สเตเดี้ยม
ความจุ : 15,000
ประธานสโมสร : วิลักษณ์ โหลทอง
หัวหน้าผู้ฝึกสอน : ไพโรจน์ บวรวัฒนดิลก
เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ : www.mtutd.tv

เส้นทางของ เอสซีจี เมืองทองยูไนเต็ด

เริ่มแรกใช้ชื่อ สโมสรฟุตบอลเมืองทอง หนองจอก ยูไนเต็ด โดยใช้ชื่อทีมโรงเรียนหนองจอกพิทยานุสสรณ์ เริ่มไต่เต้าจากถ้วยเล็กสุดอย่างถ้วยพระราชทานประเภท ง จนกระทั้งในการแข่งขันฟุตบอลลีกดิวิชัน 1 ฤดูกาล 2545-2546 ก็ได้เปลี่ยนชื่อทีมเป็นคร้ังแรกเป็น สโมสรฟุตบอลไข่มุกดำหนองจอก

ต่อมาในลีกดิวิชั่น 1 ฤดูกาล 2546 – 2547 ได้เปลี่ยนชื่อทีมเป็นครั้งที่ 2 เป็น สโมสรฟุตบอลหลักทรัพย์โกล์เบล็ค หนองจอก ในตอนนั้นมี สมศักดิ์ เซ็นเชาวนิช เป็นผู้จัดการทีม ต้องขอบอกเลยว่าในปีนั้นทีมทำผลงานได้ย่ำแย่จนต้องตกชั้นไปเล่นในถ้วยพระราชทานประเภท ข

จุดเริ่มต้นความสำเร็จของ เมืองทองยูไนเต็ด

จุดเริ่มต้นของความสำเร็จเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2550 โดยได้ผู้จัดการทีมอย่าง นพพร เอกศาสตรา คุมทีม โดย โรเบิร์ต โปรคูเรอร์ ในปีนี้เองเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ดได้แชมป์ลีกดิวิชัน 2 ครั้งแรกพร้อมได้สิทธิ์ขึ้นไปเล่นลีกดิวิชัน 1

ต่อด้วยความสำเร็จผู้จัดการทีมอย่างสุรศักดิ์ ตังสุรัตน์ สามารถพาทีมคว้าแชมป์ลีกดิวิชัน 1 ประจำปี 2551 มาครอบครองได้สำเร็จ พร้อมขึ้นชั้นมาเล่นไทยพรีเมียร์ลีก 2552 (ไทยลีก ครั้งที่ 13)

นับได้ว่า ทีมเมืองทองหนองจอก ยูไนเต็ด ได้สร้างประวัติศาสตร์ทีมแรกที่ใช้เวลาเพียง 3 ปี ที่สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลลีกของไทยไล่จากลีกดิวิชัน 2, ดิวิชัน 1 จนถึงลีกสูงสุด แถมยังสามารที่จะป้องกันแชมป์ได้ 2 สมัยติดต่อกัน ในไทยพรีเมียร์ลีก 2553 ทำให้ในตอนนั้นมีสถิติเทียบเท่าบีอีซี เทโรศาสน, ธนาคารกรุงไทย และทหารอากาศ (หรือแอร์ฟอร์ซ ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน)

เมืองทองยูไนเต็ด สร้างสถิติไร้พ่ายเป็นทีมแรกของเมืองไทย

ในฤดูกาล 2555 ปูนซีเมนต์ไทย (เอสซีจี) ได้เข้ามาเซ็นสัญญาเพื่อเป็นผู้สนับสนุนทีมและได้ทำการเปลี่ยนชื่อสนาม จาก “ยามาฮ่า สเตเดียม” มาเป็น “เอสซีจี สเตเดียม” และชื่อทีมจาก “เมืองทอง หนองจอก ยูไนเต็ด” มาเป็น “เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด”

ซึ่งก่อนที่เปิดฤดูกาลนั้นได้มีการซื้อตัวนักเตะมาเสริมทีมอย่างมาก เอกภูมิ โพธารุ่งโรจน์, มงคล นามนวด,อัดนัน บาราคัท และมารีโอ ยูโรฟสกี รวมถึงการเซ็นสัญญาผู้จัดการทีมคนใหม่ คือ สลาวีชา วอคานอวิช โดยในครั้งนี้จบเลกที่ 1 ด้วยการรั้งอันดับที่ 1 ของตารางไทยพรีเมียร์ลีก 2555

เข้าช่วงปลายเลกที่ 2 ทีมก็ยังรักษาฟอร์มที่ดีไว้ได้ จนเหลือ 3 นัดสุดท้าย เมื่อแต้มได้ทิ้งห่าง ชลบุรี เอฟซี ทีมอันดับที่ 2 ได้เป็นแชมป์อย่างเป็นทางการตั้งแต่ยังไม่จบฤดูกาล และปีนี้นี่เองที่ กิเลนผยอง ได้ทำสถิติไร้พ่ายเป็นทีมแรกของเมืองไทยและของสโมสร

ทำเนียบแชมป์ของ เมืองทองยูไนเต็ด

ไทยลีก

ชนะเลิศ (4) : 2009, 2010, 2012, 2016
รองชนะเลิศ (3) : 2013, 2015, 2017

ไทยลีก 2 ชนะเลิศ (1) : 2008

ไทยลีก 4 ชนะเลิศ (1) : 2007

ฟุตบอลถ้วยพระราชทานประเภท ก.

ชนะเลิศ (1) : 2010
รองชนะเลิศ (4) : 2011, 2013, 2014, 2016

ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนส์ คัพ

ชนะเลิศ (1) : 2017

ไทยลีก คัพ

ชนะเลิศ (2) : 2016, 2017

แม่โขงคลับ แชมเปี้ยนชิพ

ชนะเลิศ (1) : 2017

โตโยต้า พรีเมียร์คัพ

รองชนะเลิศ (1) : 2017

มารู้จักเฮดโค้ช : อเล็กซานเดร กามา

สำหรับ อเล็กซานเดร กามา ในวัย 51 ปี ได้เคยผ่านงานด้านเยาวชนกับสโมสรในบราซิลอย่าง ฟลูมิเนนเซ และ อินเตอร์นาซิอองนาล ก่อนที่จะมารับงานคุมทีมชุดใหญ่กับสโมสรในเอเชียกับ อัล วาห์ดะ ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และพาทีมเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2007

ในปี 2014 กามา เข้ามาทำงานที่เมืองไทยกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ เชียงราย ยูไนเต็ด ซึ่งเจ้าตัวประสบความสำเร็จอย่างสูง เมื่อได้พาอดีตต้นสังกัดทั้ง 2 สโมสรคว้าแชมป์รวมกัน 12 รายการ ในระยะเวลา 4 ปีครึ่ง ก่อนจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยชุดเยาวชน ในการเตรียมทีมสู่รายการชิงแชมป์เอเชีย U23

ในวันที่มีการแถลงข่าวเปิดตัวครั้งแรกของ กามา ที่ได้เข้ามาคุมทีมเมืองทองยูไนเต็ดได้เปิดใจเอาไว้ว่า

“สวัสดีสื่อมวลชนทุกท่าน ผมรู้สึกเป็นเกียรติและตื่นเต้นอย่างมาก ที่จะได้มีโอกาสทำงานกับสโมสรที่ยิ่งใหญ่อย่าง เอสซีจี เมืองทองฯ ที่เต็มไปด้วยผู้เล่นคุณภาพมากมาย ซึ่งต้องขอบคุณทางผู้บริหารที่เชื่อมั่นในความสามารถ แน่นอนว่าถือเป็นความท้าทายครั้งสำคัญในอาชีพโค้ช ส่วนเป้าหมายก็อยากพาทีม เอสซีจี เมืองทองฯ กลับสู่ฟอร์มที่ดีอีกครั้ง และประสบความสำเร็จให้ได้”

เพลงเชียร์ทีม เมืองทอง ยูไนเต็ด

พลงประจำสโมสรของพวกเขามีชื่อว่าเพลง ‘กิเลนผยอง’ ขับร้องโดย พิชัยยุทธ จันทร์กลับ หรือ เหน่ง The Voice นั่นเอง เพลงนี้จะเป็นเพลงที่จะใช้ในการเปิดตัวทีมเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ดทุกครั้งก่อนลงทำการแข่งขัน ทำนองเพลงนี้หลายคนอาจจะคุ้นหูกันเป็นอย่างดี

หากใครที่ดูฟุตบอลต่างประเทศบ่อยๆ จะสามารถร้องเพลงนี้ตามได้อย่างแน่นอน ด้วยบีตที่เป็นเพลงร็อกไม่ว่าจะเชียร์อยู่หน้าจอหรืออยู่ที่ขอบสนาม เพลงนี้จะชวนให้คุณโยกตามอย่างง่ายดาย หากไม่เชื่อลองซ้อมร้องกันสักท่อนก่อน

“กิเลนผยองเมืองทองยูไนเต็ด กิเลนผยองเมืองทองยูไนเต็ด บุกเข้าไป เอ้าลุยเข้าไปเมืองทอง”

สนามเหย้าของ เมืองทองยูไนเต็ด

เมืองทอง ยูไนเต็ด ได้ใช้สนามธันเดอร์โดมเป็นสนามเหย้า โดยที่สนามแห่งนี้อยู่หลังอาคารชาเลนเจอร์เมืองทอง เป็นพื้นที่โล่งใกล้กับทางขึ้นลงทางด่วนพิเศษ อยู่ติดกับธันเดอร์โดมที่ใช้จัดคอนเสิร์ตในเรียลลิตี้ โชว์ชื่อดัง “เอเอฟ” หรืออะคาเดมี่ แฟนเทเชีย

สำหรับสนามธันเดอร์โดม นั้นปัจจุบันมีความจุโดยประมาณ 15,000 ที่นั่ง และเมื่อต่อเติมและปรับปรุงเสร็จจะมีความจุรวมเพิ่มเป็น 20,000 ที่นั่ง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึกทั้ง 2 ฝั่งอัฒจรรย์, ห้อง VIP รอบสนาม, ห้องสื่อมวลชน, ร้านอาหาร, พลาซ่า, จูเนียร์ช็อป, พิพิธภัณฑ์สโมสร ฯลฯ

นอกจากนี้สโมสร ยังเปิดโอกาสให้สโมสรอื่นๆ ทั้งในระดับไทยลีกและดิวิชั่นต่างๆ ได้เข้ามาศึกษาระบบการจัดการของสโมสรเพื่อพัฒนาลีกอาชีพของไทยให้ก้าวไปสู่ ความเป็นสากลต่อไป

สรุป

เส้นทางของทัพกิเลนผยองลุ่ม ๆ ดอน ๆ ขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่คงที่ แต่ก็ยังสามารถคว้าแชมป์มาได้หลายรายการ แต่ในฤดูกาล 2020-2021 นี้ ขาดนักเตะซุปตาร์ไปหลายคน แต่ก็มีเสริมทัพเข้ามาเพิ่ม ขอแค่ฤดูกาลนี้ไม่ตกชั้นน่าจะดีนะ สามารถติดตามดูบทความดี ๆ อัพเดทกันทุกวันได้ที่ Medetc

Facebook
Twitter
WhatsApp
Email

บทความที่เกี่ยวข้อง